Share on
ผู้ช่วยสมองกล 24 ชั่วโมง ที่ไม่ได้มาเพื่อ “ช่วยชีวิต” แต่ “จับผิด”
ถนนเมืองเชียงใหม่กำลังจะเปลี่ยนไป…
ไม่ใช่เพราะสร้างถนนใหม่ หรือเพิ่มสัญญาณไฟ พี่เซฟจะบอกว่าแต่เพราะผู้ช่วยคนใหม่ ที่ไม่ต้องพัก ไม่กระพริบตา และทำงาน 24 ชั่วโมงเต็ม! ใช่แล้วครับ… พี่เชฟกำลังพูดถึง “กล้องตรวจจับ AI” ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องความปลอดภัยทางถนนของชาวสองล้อในเมืองเหนือแบบจริงจัง
เชียงใหม่คือที่แรก
เชียงใหม่ เป็นจังหวัดนำร่องแรกของประเทศไทย ที่มีการใช้เทคโนโลยีกล้องตรวจจับอัจฉริยะด้วยระบบ AI อย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มใช้เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา โดยทำการติดตั้งกล้องตรวจจับดังกล่าวครอบคลุมจุดเสี่ยงสำคัญในพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตพื้นที่อำเภอเมือง ซึ่งผู้ใช้รถจักรยานยนต์กว่า 600,000 คัน
กลางคืนคือเวลาเสี่ยง
จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์ในเชียงใหม่ พบว่า มากกว่า 70% เกิดขึ้นในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะหลังสองทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีด่านตรวจ และผู้ขับขี่มักจะละเลยการสวมหมวกกันน็อก สอดคล้องกับจำนวน 80% ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์ในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ จากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ และนี่คือจุดที่ AI เข้ามาเติมเต็ม เพราะกล้องไม่หลับและช่วยเก็บพฤติกรรมเหล่านี้ไว้ได้หมด
เมื่อ “กล้องตรวจจับ AI” กลายเป็นผู้ช่วย 24 ชั่วโมง
กล้อง AI ที่นำมาใช้ในเชียงใหม่ ไม่ได้มาเพื่อเป็นแค่ “กล้องจับผิด” แต่คือ “กล้องช่วยคิด” ที่ทำงานแทนสายตาตำรวจจราจร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มองเห็นพฤติกรรมเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ทั้งการไม่สวมหมวกกันน็อก ฝ่าไฟแดง หรือขับย้อนศร ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเก็บข้อมูลเพื่อวางแผนจัดการจราจรแบบแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังช่วยลดความตึงเครียดระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนได้ เพราะการบังคับใช้กฎหมายไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันตรง ๆ แต่ใช้ “หลักฐานภาพ” เป็นตัวพูดแทน และเมื่อพฤติกรรมผู้ขับขี่ถูกจับตาอย่างสม่ำเสมอ ก็เกิดแนวโน้มการปรับตัวโดยอัตโนมัติได้เอง ไม่ต่างจากการมี “ครูฝึกวินัยจราจร” ที่ยืนประจำสี่แยกตลอดเวลา
พฤติกรรมที่เริ่มเปลี่ยนไป
ในช่วง พ.ศ. 2563-2564 ซึ่งเป็นปีแรกของการติดตั้งใช้งาน “กล้องตรวจจับ AI” มีการทำสำรวจว่าการมีอยู่ของกล้องอัจฉริยะนี้ ช่วยปรับพฤติกรรมของผู้ใช้รถจักรยานยนต์อย่างไรบ้าง ซึ่งพบว่า อัตราการสวมหมวกกันน็อกของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้น 30% รวมไปถึงการเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์นั้น ลดลงถึง 50%
แนวคิดเบื้องหลังของ “กล้องตรวจจับ AI” ในเชียงใหม่ ไม่ใช่แค่ “จะจับใคร” แต่คือ “จะช่วยใคร” ให้ได้มากที่สุด
แต่เพื่อ “ป้องกันและเตือนสติ” คนขับขี่ให้เคารพกฎมากขึ้น หากระบบนี้ช่วยให้คนขับคาดเข็มขัด ใส่หมวกกันน็อก หรือหยุดรถให้คนข้ามทางม้าลายได้มากขึ้น พี่เชฟก็คิดว่าน่าจะดีไม่น้อยเลย เพราะเมื่อผู้ขับขี่รู้ว่ามีสายตาเฝ้าดูตลอดเวลา พฤติกรรมก็จะค่อย ๆ ปรับตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครคอยเตือนอยู่ตลอด
เชียงใหม่กำลังยกระดับจาก “เมืองน่ารัก” เป็น “เมืองปลอดภัย” โดยทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากเทคโนโลยีและความร่วมมือของทุกคนบนถนน พี่เชฟนี่นั่งรอวันที่เจ้า “กล้องตรวจจับ AI” นี่จะมีขึ้นทั่วประเทศเลยนะครับ
แน่นอนว่าถ้าเราขับขี่ดี ก็ไม่ต้องกลัวกล้องเลย…เพราะ “กล้องตรวจจับ AI” จะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่ช่วยให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยทุกครั้ง
ที่มา: ชุดความรู้การจัดการพฤติกรรมเสี่ยงจากการไม่สวมหมวกนิรภัยในระยะใกล้บ้าน, ศวปถ.