เสียงเครื่องยนต์ที่ดังอยู่แทบทุกหัวมุม ทั้งในชุมชน ริมซอย หน้าปากซอย หน้าร้านขายของชำ หรือแม้แต่บริเวณหน้าโรงเรียน
ภาพของวัยรุ่นไทยที่ขี่มอเตอร์ไซค์ และบางคนไม่สวมหมวกกันน็อก แน่นอนว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่มีใบขับขี่ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพชินตาไปซะแล้ว เรียกได้ว่าผู้คนรอบข้างแทบไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นหรือตื่นตกใจอะไรอีกต่อไป “ทั้งที่ความเป็นจริง พฤติกรรมเหล่านี้ซ่อนความเสี่ยงอันตรายไว้มากกว่าที่ตาเห็น… และอาจหมายถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที”
ในช่วง พ.ศ. 2554-2563 เด็กและเยาวชนไทยระหว่างอายุ 10-19 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 26,930 คน ตกเฉลี่ยปีละ 2,693 คน ซึ่งดูจะเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับการที่ไทยติดอันดับประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงในโลกอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งหากไม่ยกระดับการแก้ไขปัญหานี้เป็นวาระเร่งด่วนของชาติ ภายในทศวรรษหน้า เด็กและเยาวชนไทยจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 30,000 คน ได้1
ถนนในเมืองไทยไม่ควรเป็น “พื้นที่เสี่ยงตาย” ของเด็กและเยาวชน แต่ทุกปีเราต้องเห็นข่าวเศร้าแบบเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามสำคัญตอนนี้ อาจไม่ใช่แค่ “ทำไมถึงเกิดเหตุ” แต่คือ “เราจะหยุดมันได้ยังไง?”
เนื้อหาต้อนรับช่วงปิดเทอมนี้ พี่เซฟขอชวนทุกคนมารู้เท่าทัน และเห็นความสำคัญของภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงชวนคิดกันว่า เราจะสร้างเสริมนิสัยและทัศนคติอย่างไร ที่จะทำให้ทุกคนในสังคม มีส่วนช่วยเหลือและปกป้องชีวิตเด็กและเยาวชนให้ได้มากที่สุด
ทำไมเด็กถึงตกอยู่ในความเสี่ยง ?
1. นักขับขี่หน้าละอ่อน ที่ไม่มีใบขับขี่ เพราะบนถนนที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อเด็กหรือผู้ขับขี่หน้าใหม่
เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12-15 ปีหลายคนเริ่มใช้รถมอเตอร์ไซค์ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เพราะมองว่าเป็นเรื่องปกติในชุมชน แต่ด้วยประสบการณ์ขับขี่ที่น้อย และประกอบกับไม่มีใบขับขี่ ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะที่จำเป็นอย่างเพียงพอ มีความคิดว่าใบขับขี่ไม่สำคัญ ซึ่งทัศนคติแบบนี้คือจุดเริ่มต้นของการขับขี่ผิดกฎหมายและอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้2
เด็กชายวัย 13 ปี ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกรถบรรทุกพ่วงชนเสียชีวิตบนถนนในจังหวัดสุพรรณบุรี
ที่มา: ห้องข่าวภาคเที่ยง ช่อง7HD
www.youtube.com/watch?v=98BKEHzaQy4
2. ขี่และซ้อนมอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก เพราะบนถนนที่การควบคุมไม่เคร่งครัด
ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ มองว่าหมวกกันน็อกเป็นเรื่องไม่จำเป็น หรือใส่แค่เพื่อหลบตำรวจเท่านั้น3 มีหลายครั้งที่พบว่ามีการซ้อนท้ายกันหลายคน ขี่ไปถือของไป รวมถึงเล่นมือถือระหว่างซ้อน ด้วยความรู้สึก “คุ้นชิน” แต่ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสเสียการทรงตัวและบาดเจ็บหนักหากเกิดอุบัติเหตุ โดยจากข้อมูลใน “สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนประเทศไทย 2023” โดย กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กและเยาวชนอายุ 15-19 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงที่สุด4
เยาวชน 12 ขวบ ซิ่งมอเตอร์ไซค์ซ้อน 3 ฝ่าไฟแดง ไม่สวมหมวกกันน็อค
ที่มา: ข่าวใหญ่ช่อง8
www.youtube.com/watch?v=46o4WSZg0L8
ป้องกันเด็กไทยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ด้วย TSY Program5
TSY Program หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Thailand Safe Youth Program เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยให้กับเยาวชนไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับสถานศึกษา ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่มีหมวกกันน็อก ดื่มแล้วขับ หรือขับขี่เร็วเกินกำหนด โดยประยุกต์มาจากแนวคิด Swiss Cheese Model เพื่อปิดช่องว่างของปัญหาทั้งในระดับนโยบาย ไปจนถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ทัศนคติความปลอดภัยต่อเยาวชน ซึ่ง TSY Program ประกอบไปด้วยกระบวนการเรียนรู้ 6 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
1. วิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ (Data and Information)
อุบัติเหตุทางถนนทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ จำนวนนักเรียนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ยานพาหนะที่ใช้ การสวมหมวกกันน็อก การมีใบขับขี่ เส้นทางการเดินทาง ฯลฯ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอในการขับเคลื่อนนโยบายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป
2. พัฒนานโยบายและการขับเคลื่อนกลไกการทำงาน (Policy Advocacy)
หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่ จัดตั้งทีมงานหรือคณะกรรมการเพื่อรับผิดชอบในออกแบบนโยบาย เพื่อวางแผนงาน กลไกลการทำงานในพื้นที่ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น
3. สร้างพลังการทำงานเป็นทีม (Empowerment of Teamwork)
ในกลุ่มบุคลากรและหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง ครู สาธารณสุข ตำรวจ หรือภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และความเข้าใจในสถานการณ์การบาดเจ็บและเสียชีวิตในเด็กและเยาวชนจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อร่วมกันออกแบบแผนการทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีความชัดเจนในการแบ่งบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ
4. สร้างมาตรการที่มีพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง (Powerful Measures)
การสร้างมาตรการที่มีศักยภาพช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ตัวอย่างมาตรการเช่น การปรับโครงสร้างและสภาพแวดล้อมหน้าโรงเรียนให้มีความปลอดภัย อาทิ มีทางม้าลาย ทางเดินถนน จัดกิจกรรมส่งเสริมการสวมหมวกกันน็อก การกำหนดโทษกรณีทำผิดกฎจราจรที่โรงเรียนทำร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ การอนุญาตให้ผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่เท่านั้นที่สามารถนำรถมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนได้ รวมถึงการออกแบบมาตรการอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการยืดเวลาการใช้รถมอเตอร์ไซค์ในกลุ่มเด็กและเยาวชนให้ได้นานที่สุด
5. พัฒนาทักษะชีวิต “ฉีดวัคซีนจราจร” (Life skills and Traffic Vaccinations)
สอนให้เยาวชนมีทักษะในการคิดและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน ทั้งในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์เฉพาะ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมวินัยและทัศนคติต่าง ๆ 6 โมดูล ด้วยกัน ได้แก่ การจัดการความเสี่ยงในการใช้รถใช้ถนนเบื้องต้น, สมรรถนะ ขีดจำกัด และการประมวลผลของมนุษย์, ทักษะความตระหนักรู้ในสถานการณ์, ทักษะการตัดสินใจ, ทัศนคติอันตราย, และการจัดการความเครียด/ความเหนื่อยล้า
6. การติดตามประเมินผลข้อมูลสะท้อนกลับ (Evaluation and Feedback)
กระบวนการนี้จะช่วยในการติดตามผล ของการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในเชิงผลลัพธ์และผลผลิต เช่น จำนวนร้อยละของนักเรียนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ อัตราการสวมหมวกนิรภัย จำนวนเยาวชนที่มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ฯลฯ
TSY Program มีเครื่องมือและกระบวนการทำงานที่ครอบคลุม ตั้งแต่เชิงนโยบายในภาพใหญ่ไปจนถึงกิจกรรมที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมโดยตรง แต่ศักยภาพของการทำให้เครื่องมือนี้จะเกิดประสิทธิผลได้นั้น ย่อมต้องขึ้นอยู่กับทุกคน สิ่งสำคัญที่ไม่ไกลเกินเอื้อมคือการร่วมกันหยุดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนน ด้วยเราทุกคนลุกขึ้นมาใส่ใจ เรียนรู้ และร่วมด้วยช่วยกัน
ว่าแต่… นอกจากกระบวนการดังกล่าวแล้ว พี่เซฟอยากชวนให้ทุกท่านช่วยกันแลกเปลี่ยน ว่าจะมีวิธีการอื่นใดอีกไหม ที่จะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนของเรา มาร่วมแลกเปลี่ยนกันได้ที่ www.facebook.com/SAFEEDUCATIONTHAI
ที่มา:
1สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนประเทศไทย โดยกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, หน้า 39
2-3ทำไมวัยรุ่นและเยาวชนไม่ทำใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ (https://www.roadsafetythai.org/download_bookdetail-edoc-650.html)
4สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนประเทศไทย โดยกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, หน้า 4
5สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนประเทศไทย โดยกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, หน้า 20-21