เรื่องราวของ เหวิง ซินยี่ (Weng Xinyi) กับชีวิตที่เปลี่ยนไป…ด้วยเหตุไม่คาดคิดจากอุบัติเหตุทางถนน

เรื่องราวของ เหวิง ซินยี่ (Weng Xinyi) กับชีวิตที่เปลี่ยนไป...ด้วยเหตุไม่คาดคิดจากอุบัติเหตุทางถนน
189

หลังจากหลับใหลนานนับสิบวัน เปลือกตาที่หนักอึ้งของ เหวิง ซินยี่ (Weng Xinyi) ค่อย ๆ เปิดขึ้น หญิงสาวในชุดขาวไม่คุ้นหน้าหลายคนรายล้อมเธอ และพ่นคำถามรัวราวกับเธอคือเป้าที่ทุกคนต้องยิงให้โดน แต่คำถามเหล่านั้นไม่อาจทะลุผ่านเข้ากำแพงความกังวลเดียวของเธอได้ “เพื่อนของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ?” คือสิ่งที่สมองแล้วกล้ามเนื้อปากของเธอต้องการเปล่งออกมา แต่กลับเป็นเพียงเสียงแห้งพร่าที่จับใจความไม่ได้

ในเดือนตุลาคม ปี 2020 สองสาววัย 25 ปี ซินยี่และเพื่อนรักของเธอชวนกันไปเที่ยวชอปปิงที่ร้าน Duty-Free จากเกาะไหหนาน (Hainan) ย่านที่พวกเธออยู่ไปที่ซานย่า (Sanya) หลังจากวางแผนกันเสร็จสรรพ พวกเธอได้ไปเช่ารถสปอร์ตคันหรู เพื่อใช้สำหรับการเดินทาง ตลอดทริป 3 วัน 2 คืน โดยเพื่อนรักอาสาเป็นโชเฟอร์หรือคนขับนั่นเอง ทุกอย่างในทริปเต็มไปด้วยความสนุกและราบรื่น จนกระทั่งวันสุดท้าย ระหว่างเดินทางกลับ มีฝนโปรยปราย บรรยากาศช่างเป็นใจให้ซินยี่ที่นั่งข้างคนขับได้เผลอหลับไป ในห้วงนิทรานั้น ซินยี่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนของเธอขับเคลื่อนรถคันหรูบนถนนที่ทั้งเปียกและลื่น ด้วยอัตราความเร็วถึง 178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อมาภายหลังเพื่อนให้เหตุผลว่าต้องรีบขับรถหรูที่เช่าไว้กลับไปคืนให้ทันเวลา

ด้วยความเร็วขนาดนั้นประกอบกับพื้นถนนที่เปียก ทำให้รถสปอร์ตหรูเสียหลักชนกับรั้วถนน (Guardrail) เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ความเร็วของรถทำให้รั้วเหล็กรูดผ่าตัวรถและตัดแขนซ้ายของซินยี่ผู้หลับใหลขาดสะบั้นทันทีในที่เกิดเหตุ ซินยี่ยังคงสลบไปอีกกว่า 10 วันในห้องไอซียู โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เธอเหลือแขนขวาเพียงข้างเดียว ส่วนเพื่อนรักที่เป็นคนขับนั้นปลอดภัยดี

ซินยี่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวด โดยเธอบอกว่า ก้อนมวลความเจ็บปวดนั้นมากมายมหาศาลเสียจนทำให้เธอลืมที่จะรู้สึกเศร้าโศก ระหว่างรักษาตัวซินยี่ยังมีอาการติดเชื้อที่ขาข้างซ้ายอย่างหนัก จนทำให้เธอมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ทีมแพทย์พยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะรักษาขาข้างซ้ายของเธอไว้ แต่ในที่สุดหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลราวเดือนครึ่ง แพทย์ได้แจ้งข่าวร้ายกับซินยี่ว่า พวกเขาต้องทำการตัดขาข้างซ้ายของเธอออก เพื่อป้องกันการติดเชื้อไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้

ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนในโรงพยาบาล ซินยี่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ทั้งหมด 14 ครั้ง ไม่นับการผ่าตัดเล็กอีกนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากขาและแขนข้างซ้ายของเธอจะไม่อยู่แล้ว เธอยังต้องทรมานกับภาวะปวดหลอน (Phantom Limb Pain) ซึ่งเป็นอาการที่เธอรู้สึกเจ็บปวดราวกับไฟช็อตหรือมีเข็มทิ่มแทงบริเวณขาและแขนซ้าย ราวกับว่าเธอยังไม่เสียมันไป นอกจากนี้ซินยี่ในวัย 25 ปี ที่เคยมีอนาคตอันสดใส ยังต้องเผชิญกับปัญหาด้านการนอน โรคซึมเศร้า และไบโพล่าร์ เพียงเพราะเสี้ยววินาทีจากอุบัติเหตุที่ทำให้ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล

สำหรับด้านกายภาพ แน่นอนว่า ซินยี่คือคนเดียวที่ได้รับความเจ็บปวดทางกายอย่างแสนสาหัส ไม่มีใครเจ็บแทนเธอได้ แต่สำหรับเรื่องจิตใจ คนเป็นแม่นั้นหัวใจแทบแหลกสลาย ที่เห็นลูกคนเดียวของครอบครัวต้องเสียทั้งแขนและขาไป แม้เวลาล่วงเลยมาแล้วกว่า 3 ปี อุบัติเหตุครั้งนี้สรางผลกระทบให้แม่ของซินยี่รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเร่งเครื่องรถยนต์

สิ่งที่ซินยี่เสียไป นอกจากสภาพจิตใจ แขน และขาซ้ายแล้ว ความสัมพันธ์ที่เธอคิดมาเสมอว่า มันคือความหมายของชีวิต ก็ได้ล่มสลายลงไปด้วย ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล แฟนหนุ่มของเธอได้ส่งข้อความมาบอกเลิก เพราะรับไม่ได้ที่เธอพิการ เท่านั้นยังไม่พอ มิตรภาพกว่าครึ่งชีวิตระหว่างเธอกับเพื่อนรักที่เป็นคนขับรถในวันนั้นก็ได้ขาดสะบั้นลง เมื่อเพื่อนไม่เคยมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลเลย และหลังจากรักษาตัวอยู่ 2 เดือน ครอบครัวเพื่อนได้ต่อสายหาเธอว่า พวกเขาจนปัญญาที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของซินยี่ต่อไปอีกแล้ว ตอนนั้นหัวใจของซินยี่แตกสลายไปพร้อมกับมิตรภาพกว่า 10 ปี ระหว่างเธอและเพื่อนรัก

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงมองเห็นแต่ความมืดมนในชีวิตของซินยี่ แต่ซินยี่กลับไม่เลือกที่จะทำให้ชีวิตเธอเป็นเช่นนั้น อุบัติเหตุทางถนนในวันนั้น แม้จะทำให้เธอเสียขาและแขนไป แต่ซินยี่ไม่ยอมให้มันทำให้ชีวิตของเธอย่ำแย่ ซินยี่เชื่อว่าวิทยาการทางการแพทย์และเทคโนโลยีด้านขาเทียมจะทำให้เธอกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ระหว่างที่เธออยู่ในช่วงพักฟื้นและปรับตัว เธอต้องเข้าไปที่ศูนย์บำบัดและฟื้นฟูทุกวัน เพื่อฝึกใช้ชีวิตให้คุ้นชินกับขาเทียม ที่นั่นเองทำให้เธอได้พบกับเพื่อนที่พิการคนอื่น และพบว่า บางคนเลือกที่จะหลีกหนีจากสังคม เอาแต่หลบอยู่ในบ้าน เพียงเพราะอายที่ตัวเองพิการ แต่สำหรับซินยี่เอง เธอกลับมองต่าง เธอเสียโอกาสที่จะใช้ชีวิตไปแล้วกว่า 6 เดือนในโรงพยาบาล และจะไม่ยอมเสียโอกาสชีวิตหลังจากนั้นไปอีก หลังจากฝึกใช้ชีวิตด้วยขาเทียมเพียงเดือนกว่า ซินยี่ก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 100% เธอเดินออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ แถมยังออกเดินทางไปเที่ยวต่างเมืองด้วยรถไฟและเครื่องบินคนเดียวอีกด้วย

มากไปกว่านั้น หลังจากซินยี่ออกไปใช้ชีวิตในสังคม เธอมักจะถูกมองด้วยสายตาที่เจือไปด้วยความสงสัย ความสงสาร-สมเพช และความรู้สึกด้านลบอีกมากมาย แต่สายตาเหล่านั้นกลับทำอะไรหัวใจที่แข็งแกร่งของเธอไม่ได้เลย เธอรักร่างกายของเธอ แม้มันจะไม่สมบูรณ์แบบ และความรักนี้เองที่ทำให้เธอไม่นำความคิดของใครก็ไม่รู้มากวนใจ และยิ่งกว่านั้น เธอยังเลือกที่จะทำให้ความเว้าแหว่งของร่างกายเธอมาเป็นจุดเด่น แทนที่ซินยี่จะเลือกใส่ขาเทียมทั่วไปที่ดูคล้ายขาจริงเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เธอกลับออกแบบขาเทียมของเธอให้แตกต่าง โดยขาเทียมของเธอจะหน้าตาเป็นแท่งเหล็กคล้ายขาหุ่นยนต์ และนี่คือที่มาของฉายา
“ไซเบอร์พังก์สตรีทเกิร์ล”

โดยหลังจากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้เหวิง ซินยี่ ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทั้งทางใจ และร่างกายอย่างยาวนาน จนในที่สุด เธอก็ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ และความสิ้นหวังในจิตใจ และกลับมายืนหยัดได้อย่างเต็มร้อยอีกครั้ง โดยซินยี่มุ่งมั่น เป็นนางแบบถ่ายแบบในชุดโยคะที่เธอเป็นเจ้าของกิจการเอง ปัจจุบันซินยี่ที่ย้อมสีน้ำเงินโดดเด่นกับขาเทียมที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์สายแฟชันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน และปัจจุบันเธอเองพยายามสร้างคอนเทนต์ให้กำลังใจคนพิการ และรณรงค์การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย

อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า “เหวิง ซินยี่” คือแรงบันดาลใจอันดีเยี่ยมของหลาย ๆ คน ที่สูญเสียร่างกายจิตใจจากอุบัติเหตุทางถนน แต่กลับมาเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นใจ แต่พี่เซฟคิดว่า มันน่าจะดีกว่านี้ หากวันนั้นในเดือนตุลาคม ปี 2020 เพื่อนรักขับรถสปอร์ตคันหรูส่งซินยี่ถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไม่ประมาทด้วยการใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดตามโซเชียลของเราได้ที่

© Copyright 2022 Safe Education Thailand. All rights reserved.