ตามสถิติ ที่ตำรวจทางหลวง ได้บันทึกไว้ พ.ศ. 2562 และ 2563 ได้ออกใบสั่งความเร็วไปทั้งสิ้น 11.8 ล้านใบ และ 15.8 ล้านใบ ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นประเภทใบสั่งมากที่สุด ในบรรดาใบสั่งทุกประเภท
และพี่เซฟก็เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงเคยได้รับ ใบสั่งจราจร ส่งมาทางไปรษณีย์ ถึงประตูบ้าน ที่เขียนข้อมูลมาละเอียดยิบ ทั้งความเร็วของรถ เวลาที่บันทึก พร้อมรูปรถและเลขทะเบียนแบบชัดแจ๋ว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ถูกบันทึกโดย “กล้องตรวจจับความเร็ว” เทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ด้วยการช่วยพี่ ๆ ตำรวจจราจร จับผิดคนขับขี่เร็วเกินกำหนดนั่นเอง
แล้วเคยสงสัยกันไหมว่า กล้องตรวจจับความเร็ว ทำงานอย่างไร รู้ได้ยังไงว่าเราขับเกินกฎหมายกำหนด วันนี้พี่เซฟจะมาอธิบายและสรุปหลักการทำงานของกล้องตรวจจับความเร็วให้หมดความสงสัยกัน
จริง ๆ แล้ว ชุดตรวจจับความเร็ว มีฟังก์ชันหลัก ๆ อยู่ 3 ฟังก์ชัน ได้แก่
- ส่วนที่ทำหน้าที่วัดความเร็วของรถ หรือเครื่องตรวจจับความเร็ว
- กล้องถ่ายภาพ ที่มีฟังก์ชันถ่ายภาพ เมื่อรถเคลื่อนที่เร็วกว่ากำหนด
- ระบบ หรือ Software ที่เป็นเหมือนสมอง ที่คอยคำนวณ สั่งการ บันทึก และจัดการข้อมูล เพื่อนำมาออกใบสั่ง
นี่อาจเป็นเหตุผล ที่ทำให้คนทั่วไป เรียกทั้งหมดนี้รวมกันว่า กล้อง+ตรวจจับความเร็ว โดยตำแหน่งในการติดตั้งกล้องจับความเร็ว จะติดไว้ที่ความสูง 5-6 เมตร เพื่อตรวจจับรถในระยะ 12-15 เมตร โดยส่วนใหญ่จะถูกติดไว้ที่ สะพานลอย หรือป้ายบอกทาง ที่คร่อมถนน และต้องไม่มีอะไรบัง
1. เชื่อมต่อ Smartphone
ถ้าพูดถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์เราเข้ากับสมาร์ทโฟนเพื่อรับฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มาใช้งาน อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของชีวิตประจำวันของน้อง ๆ แล้ว แต่ถ้าเราพูดถึงการเชื่อมต่อกับหมวกกันน็อกล่ะ มันคงเป็นอะไรที่ว้าวมากแน่ ๆ เพราะใครจะไปคิดว่าวันนี้หมวกกันน็อกจะสามารถกลายเป็นอุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของน้อง ๆ พร้อมสามารถใช้งานฟังก์ชั่นสารพัดได้จริง ๆ แล้ว (เราจะเรียกหมวกกันน็อกกลุ่มนี้ว่า Smart Helmet) อย่างเช่น แบรนด์หมวกกันน็อกสัญชาติญี่ปุ่น CrossHelmet ที่ได้ออกแบบหมวกมาในชื่อรุ่นว่า CrossHelmet X1 พร้อมฟีเจอร์ที่น่าสนใจมาก ๆ เช่น กล้อง 360 องศาติดด้านหลังหมวกพร้อมด้วย HUD แสดงผลหน้าจอ ที่จะทำหน้าที่เหมือนกระจกหลังรถให้เรา หรือแม้กระทั่งเชื่อมต่อยังสมาร์ทเพื่อทำงานโทรศัพท์ รับสาย อ่านไลน์ ฟังเพลง ก็ทำได้หมด ระบบ Noise Cancellation ที่จะตัดเสียงรบกวนออก เอาใจสายฟังเพลงขณะขับรถ พร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวเรียบหรู เรียกได้ว่าเป็นหมวกกันน็อกที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ยุคนี้มาก ๆ เลย
- CrossHelmet X1 ใบนี้มีราคาอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท (1799 เหรียญสหรัฐ)
- ถ้าน้อง ๆ คนไหนอยากเห็นฟีเจอร์แบบเต็ม ๆ ล่ะก็ เข้าไปดูกันได้ที่ https://youtu.be/QL9-Vh17Wjs
- ที่มาภาพ: https://www.crosshelmet.com/
ส่วนของการวัดความเร็ว ใช้หลักการทำงานเดียวกับการยิงเรดาร์ (RADAR : Radio Detecting and Ranging) ที่ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหว โดยวิธีการทำงานของมันก็คือ เครื่องจะยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่น คลื่นไมโครเวฟ หรือ คลื่นวิทยุ) ออกไป และเมื่อคลื่นไปตกกระทบที่วัตถุใดวัตถุหนึ่ง คลื่นจะสะท้อนกลับมาที่เครื่อง ด้วยความยาวคลื่นที่สั้นลงและความถี่คลื่นที่สูงขึ้น
และระยะเวลาการเดินทางไป-กลับมาของคลื่น ที่ยิงถูกวัตถุเดิม 2 รอบขึ้นไป ความยาวและถี่ของคลื่นขากลับเทียบกับขาไป จะสามารถนำมาใช้คำนวณความเร็วของวัตถุนั้น ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเครื่องตรวจจับความเร็ว ยิ่งคลื่นไมโครเวฟออกไป แล้วไปถูกเข้าให้กับรถยนต์ที่เรากำลังขับอยู่รวม 2 รอบ เครื่องตรวจจับความเร็วจะบันทึก ข้อมูลการเดินทางของคลื่นทั้ง 2 รอบนั้นไว้ เป็น 2 ชุด แล้วระบบ (Software) จะนำไปคำนวณและเปรียบเทียบกัน
การเดินทางของคลื่น 2 ลูก ที่ตกกระทบโดนรถของเรา ทำให้ได้ข้อมูล ได้แก่
- ระยะเวลาเดินทางไป-กลับของคลื่น ลูกที่ 1 และ ลูกที่ 2
- ความถี่และความยาวคลื่นขากลับ ของคลื่น ลูกที่ 1 และ ลูกที่ 2
จากนั้นระบบจะนำข้อมูลของคลื่นทั้ง 2 ลูกมาคำนวณเปรียบเทียบกัน (ณ วินาทีที่ คลื่นลูกแรก และ คลื่นลูกที่ 2 กระทบโดนรถของเรา เรากำลังอยู่ห่างจากเครื่องกี่เมตร ที่เวลาเท่าไหร่) จะทำให้สามารถคำนวณความเร็วของรถที่เรากำลังขับอยู่นั่นเอง
ต่อมาเครื่องตรวจจับความเร็ว คำนวณแล้วพบว่า รถเราขับด้วยความเร็วเกินว่าเรตที่ตั้งค่าในไว้ ระบบจะส่งสัญญานคำสั่งไปที่กล้องถ่ายภาพ
ส่วนของกล้องถ่ายภาพนั้น จะมี 2 กล้อง ไว้สำหรับถ่าย 2 มุม คือ กล้องที่มีความละเอียดสูงและปรับโฟกัสได้ สำหรับถ่ายป้ายทะเบียน และกล้องที่ไว้ถ่ายภาพรวมของรถ ให้เห็นสี รุ่น และยี่ห้อรถ โดยทั้ง 2 กล้องต้องมีชุดอินฟาเรด จะได้ถ่ายภายเวลากลางคืน เมื่อได้ภาพถ่ายของรถที่ขับเร็วเกินกำหนดแล้ว ระบบ Software จะบันทึกและจัดการข้อมูล เพื่อใช้แนบเป็นหลักฐาน ไปกับใบสั่ง
นั่นแหละครับท่านผู้ชมมม… ทั้งหมดนี้ มันคือที่มาของ รูปภาพรถยนต์ของเรา ที่ถูกแนบมากับใบสั่ง ส่งเดลิเวอรีถึงหน้าบ้านนั่นเอง และแน่นอนว่าการมีกล้องตรวจจับความเร็ว คือ อีกหนึ่งเครื่องมือเพื่อช่วยกำกับการขับขี่ให้มีความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดก็เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากความเร็ว ฉะนั้นแล้วอย่าลืมว่าความสำคัญของเรื่องที่พี่เชฟเล่ามาทั้งหมดก็คือ การขับขี่อย่างปลอดภัย อย่าลืมว่าจะรีบเบอร์ไหนก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะครับ
ที่มา
สถิติใบสั่ง
หลักการทำงาน
อุปกรณ์